ประวัติที่มาของพระธาตุแสงรุ้งและความมหัศจรรย์

      ในราวปีพุทธศักราช ๒๔๗๙ ชาวบ้านในเขตพื้นที่ได้เล่าขานกันต่อๆ มาจนถึงยุคปัจจุบันว่า บนดอยซึ่งเป็นที่ตั้งขององค์พระธาตุแต่กาลก่อนเหมือนเมืองลับแล เพราะช่วงเวลากลางคืนโดยเฉพาะวันนักขัตฤกษ์มักจะได้ยินเสียงเครื่องดนตรีบรรเลงเหมือนมีงานเฉลิมฉลองพระบรมธาตุเจดีย์กันอย่างยิ่งใหญ่ และก็มีดวงดาวลอยไปมาหาสู่กันระหว่างดอยต่อดอย บ้างก็เป็นดอกบัวสีสวยๆ ผุดขึ้นผุดลงบนยอดดอยซึ่งเป็นที่น่าอัศจรรย์มากกับผู้ที่ได้พบเห็น แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าไปพิสูจน์ถึงเหตุที่มาเพราะบริเวณดังกล่าวเดิมเป็นป่ารกทึบมีสัตว์ป่ามากมายโดยเฉพาะงูเล็กงูใหญ่ชุกชุมมาก จึงไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปในพื้นที่ จนกระทั่งมีท่านผู้ทรงศีลท่านหนึ่งผ่านมายังดอยและได้ปรารภกับชาวบ้านว่า “บนดอยแห่งนี้มีพระบรมสารีริกธาตุศักดิ์สิทธิ์มากอยู่ภายใต้ฐานองค์พระธาตุเจดีย์เก่าแก่นั้น และมีเทพยดาพร้อมด้วยพญานาคปกป้องรักษาไว้ให้คณะเจ้าของเดิมที่เคยพากันสร้างไว้ในอดีตชาติ และอีกไม่นานจะมีกลุ่มคณะเจ้าของเดิมผู้มีบุญญาบารมีเก่าจากทุกสารทิศจะกลับมาบูรณะปฏิสังขรณ์กันขึ้นใหม่ในภายหลัง” จากนั้นท่านผู้ทรงศีลก็หายไป และจากการยืนยันของชาวบ้านกลุ่มหนึ่ง (ปัจจุบันนี้ยังมีชีวิตอยู่) ชื่อพ่อกู่แฮ นาหล้า, พ่อเจิ่ง จรินทร์, แม่อุ้ยนาง ได้บอกเล่าถึงเหตุการณ์อีกหลายอย่างถึงความมหัศจรรย์ของดอยแห่งนี้ แต่กาลก่อนท่านว่าเป็นเมืองลับแล เพราะได้ประสบเจอกับตนเองมา และใจกลางของพระธาตุจะมีปากถ้ำขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่เป็นช่องลึกลงไปถึงแม่น้ำกกทางด้านทิศเหนือ ส่วนด้านทิศเหนือของชายดอยก็จะมีปากถ้ำเช่นกัน แต่ก่อนไม่กี่ปีที่ผ่านมา ชาวบ้านที่ไปทำไร่ทำสวนใกล้ๆบริเวณปากถ้ำ ก็มักจะเห็นงูใหญ่เลื่อยเข้าออกปากถ้ำเป็นประจำ บางครั้งก็เห็นเป็นผู้หญิงสาวสวยเดินแถวปากถ้ำให้เห็นแล้วก็หายไป น่าจะเป็นอิทธิฤทธิ์ของพญานาคแปลงกายให้เห็นเพราะพญานาคตามตำนานท่านว่ามีฤทธิ์มากอยู่ในรูปแบบของกายทิพย์ และในถ้ำนี้เคยมีลูกชายของแม่อุ้ยนางเคยวิ่งเข้าไปเล่นในถ้ำสมัยเป็นเด็กๆ ถ้ำจะลึกดิ่งลงไปใต้แม่น้ำกกภายในเห็นมีคนอยู่มากมายน่าตาดูสวยดีกันทุกคนใส่ชุดสีขาวขาวบริสุทธิ์ ส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชายและภายในถ้ำมีสมบัติล้ำค่ามากมายโดยเฉพาะเพชรพญานาคเห็นกองอยู่มากมายพร้อมพระพุทธรูปทองคำมีอยู่หลายองค์ แต่ด้วยความเป็นเด็กในสมัยนั้นจึงไม่ค่อยสนใจ ส่วนข่าวการได้พบพระธาตุนี้ได้แพร่กระจายไปก็มีนักชอบขุดหาของเก่าลักลอบขุดอยู่เสมอแต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จกลับต้องได้เจอดีกันไปทุกราย ปัจจุบันปากถ้ำถูกปิดเนื่องจากน้ำจากแม่น้ำกกบางปีท่วมสูงขึ้นพัดนำดินทรายมาปิดปากถ้ำ บ้างก็บอกว่าพญานาคปิดปากถ้ำไว้เพื่อไม่อยากให้ใครรบกวน (หมายเหตุ ข้อมูลที่ได้กล่าวมานี้ได้มาจากชาวบ้านปัจจุบันที่ยังมีชีวิตอยู่ เล่าสู่ฟัง เมื่อ พ.ศ.๒๕๕๔) 

บริเวณปากถ้ำทิพย์ที่มีผู้คนเห็นงูใหญ่เข้าออกปากถ้ำและหญิงสาวอยู่หน้าปากถ้ำ  พระสงฆ์ร่วมแผ่เมตตาให้ดวงจิตทั้งหลายรับอนุโมทนาบุญ

 

 

 

 

 

รอยการจารึกในก้อนอิฐเป็นภาษาขอมและภาษาไทยที่พบอยู่
ใต้ฐานพระธาตุ

 
เรื่องเล่านิมิตก่อนสร้างพระธาตุ

ก่อนที่พระอาจารย์ชัยรัตน จะมาร่วมทำการบูรณะปฏิสังขรณ์พระธาตุแสงรุ้ง

เมื่อครั้งปีพุทธศักราช ๒๕๑๙ ครั้งนั้นพระอาจารย์ชัยรัตนอายุ ๙ ปีอยู่นครราชสีมา (ปัจจุบันนี้มีอายุ ๔๒ ปี) สมัยเป็นเด็กมักชอบฝันเห็นแต่ตัวเองได้บวชและฝันเห็นวิหารและพระธาตุเจดีย์อยู่เสมอ เป็นเวลาค่อนข้างเกือบปีแทบทุกคืน ต้องนอนตื่นสายและไปโรงเรียนสายทุกวัน ถูกครูตีเป็นประจำ บางวันจะขออนุญาตพ่อและแม่เพื่อขอบวชตั้งแต่เด็กๆ แต่ก็ไม่ได้รับอนุญาต เพราะจิตใจคิดแต่อยากจะบวชและอยากจะมาอยู่ภาคเหนือโดยที่ไม่มีญาติพี่น้องอยู่ภาคเหนือสักคน  แต่พออายุได้ ๑๒ ปี ก็ขอโยมพ่อโยมแม่บวชเณรเพื่อศึกษาเป็นเวลา ๘ ปี แล้วลาสิกขาออกมา ก็มาบวชเป็นพระในปัจจุบันชอบทำบุญสร้างพระธาตุเป็นชีวิตจิตใจ พอได้อุปสมบทเข้ามาพรรษาแรกก็ได้สร้างพระธาตุถวายไว้ในพระพุทธศาสนาด้วยมีแรงบันดาลใจหลายอย่าง แต่ไม่ชอบเป็นเจ้าอาวาส หลายแห่งถูกนิมนต์ให้เป็นเจ้าอาวาสแต่ท่านไม่ยอม บางแห่งมีโยมถวายที่ดินเพื่อให้สร้างวัดเมื่อสร้างเสร็จแล้วสมบูรณ์ได้รับใบตราตั้งวัดถูกต้องตามกฎหมายแล้วก็ต้องทุกข์ใจที่สุดเพราะกลัวได้เป็นเจ้าอาวาส พอมาประมาณกลางเดือน กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๕๓ ที่ผ่านมาพระอาจารย์ชัยรัตน ได้เดินทางมาจากจังหวัดนครราชสีมา พร้อมด้วยสหธรรมมิกได้มีโอกาสขึ้นมายังดอยเพื่อหาที่ปฏิบัติธรรม หลังจากได้ก่อตั้งสร้างวัดและพระธาตุที่จังหวัดนครราชสีมาแล้วเสร็จเป็นพระธาตุที่ ๖ การมาก็เพื่อที่จะมาเพียงพบปะสหธรรมมิกอีกหลายๆ รูปเท่านั้นจึงได้มาที่พระธาตุแห่งนี้
พอมาก็ได้เห็นพระธาตุก็จำได้ว่าเคยนิมิตเห็นมาก่อนหน้านั้นประมาณ ๙ ปีที่แล้วไม่นึกเลยว่าจะมีพระธาตุตามที่ได้เห็นในนิมิตจริงๆ และก็เป็นครั้งแรกของการเดินทางมาของคณะพระอาจารย์ชัยรัตน พอตกเวลากลางคืนก็นิมิตเห็นงูใหญ่มาหาแล้วก็กลับกลายร่างเป็นฤาษีใส่ชุดขาวมีหนวดเครายาวรุงรัง บอกกับพระอาจารย์ชัยรัตนว่า “พระคุณเจ้ามาแล้วรึ หลายคนเขารอคอยกันมาหลายชาติ” จากนั้นฤาษีก็หายไปและภายในคืนวันเดียวกันใกล้สว่าง พระอาจารย์ชัยรัตน ก็นิมิตเห็นผู้หญิงหน้าตาดีใส่ชุดไทยสีเขียวอ่อนๆ นำหีบสมบัติเก่าๆ โบราณขนาดความยาว ๒ เมตร ซึ่งนำออกมาจากใต้ฐานขององค์พระธาตุพร้อมนำพระบรมสารีริกธาตุขนาดเท่านิ้วก้อยออกมาจากใต้ฐานพระธาตุมาให้ดู ซึ่งมีความสวยแพรวพราวมากเหมือนเพชรหลากสี ส่วนหีบนั้นมี ๓ หีบด้วยกัน คือ หีบที่ ๑ เป็นชุดเครื่องทรงของกษัตริย์ หีบที่๒ มีฆ้องและทองคำแท่ง หีบที่ ๓ มีเพชรนาคาเต็มหีบ เมื่อเปิดหีบให้ดูหมดแล้ว ก็บอกกับพระอาจารย์ชัยรัตนว่า “ของทุกอย่างอยู่ครบรักษาไว้ให้แล้วอย่างดี” จากนั้นก็หายไป ดังนั้นจึงมีที่มาของการได้นิมิตที่ดี ถือเป็นพระธาตุองค์ที่ ๗ ที่พระอาจารย์ชัยรัตน  จะได้ร่วมทำบุญด้วยท่านเคยบอกกับคณะศรัทธาเสมอว่าบวชเพื่อมาเอาบุญอย่างเดียว จึงได้ร่วมจัดการริเริ่มบูรณะปฏิสังขรณ์พระธาตุแสงรุ้งนี้ขึ้นตั้งแต่เดือน กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน และในระยะเวลาที่กำลังดำเนินการก่อสร้างครั้งแรกๆ มักจะนิมิตเห็นครูบาอาจารย์รุ่นก่อนๆ ท่านเมตตามาโปรดเสมอ  ตลอดจนเจ้าเมืองเชียงใหม่ อนุสาวรีย์สามกษัตริย์ท่านก็มา (ตามนิมิต) และที่ขาดไม่ได้พระเจ้าพรหมมหาราชท่านจะมาในนิมิตให้เห็นบ่อยๆเป็นประจำ (อยากทราบเรื่องนี้ก็ไปสนทนาธรรมกับพระอาจารย์ท่านได้)

 

                         เพชรนาคาของพระอาจารย์ชัยรัตน์